ตามตัวเลข: เทียบ 2 กองกลางตัวรับก่อนถึงนัด ‘แดงเดือด’
แน่นอนว่าเกมการแข่งขันวันอาทิตย์นี้ที่ดูเหมือนว่า แมนเซสเตอร์ ยูไนเต็ด จะเสียเปรียบ ลิเวอร์พูล พอสมควรในแง่ของฟอร์มการเล่นและความเข้าใจแทคติกของนักเตะในทีม เพราะสิ่งหนึ่งที่ทั้ง 2 ทีมต่างกันก็คือ การเสริมทัพนักเตะ ที่ฝั่ง ‘ผีแดง’ นำเข้าผู้เล่นอย่างสนุกสนาน ในส่วนอีกทีมเพิ่มนักเตะหน้าใหม่ได้เพียงคนเดียวเท่านั้น
หัวใจสำคัญของเกมนี้คงหนีไม่พ้นตำแหน่งกองกลางเบอร์ 6 ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด นำเข้ามาจาก ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ด้วยการเล่นสไตล์เข้าหนักแน่นและแม่นยำ ถ้าได้ลงในเกมนี้รับรองว่าสนุกแน่นอน แต่ในขณะที่ ‘หงส์แดง’ ไม่มีผู้เล่นใหม่ในตำแหน่งนี้ และคาดว่านักเตะที่จะได้ลงตัวจริงคงเป็น ไรอัน กราเวนเบิร์ช ที่ทำผลงานได้ดีทั้งในช่วงอุ่นเครื่องและเปิดฤดูกาล เราจะมาเทียบกันว่านักเตะทั้ง 2 คนนี้ มีจุดเด่นและจุดด้อยแบบไหนกันบ้างตามตัวเลขสถิติ
1. มานูเอล อูการ์เต้
กองกลางทีมชาติอุรุกวัยมีค่าตัว 50 ล้านยูโร บวกโบนัสตามเงื่อนไขต่างๆ อีก 10 ล้านยูโร จะเป็นการตอบโจทย์ของ ‘ปีศาจแดง’ หรือไม่ คงยากที่จะบอกจนกว่าเจ้าตัวจะได้ลงสนามให้กับทีมเต็มตัว โดยจุดเริ่มต้นของ อูการ์เต้ คือการเล่นฟุตบอลอาชีพครั้งแรกด้วยวัยเพียง 15 ปี 233 วัน กับสโมสร เฟนิกซ์ ในบ้านเกิด ซึ่งตัวเลขดังกล่าวทำให้เขาเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดในลีกอุรุกวัย ที่ประเดิมสนามในศตวรรษที่ 21 อีกด้วย และเป็นกัปตันทีมด้วยวัยเพียง 18 ปี เท่านั้น
ก่อนที่ ฟามาลิเคา ทีมจาก โปรตุเกส จะมาเซ็นสัญญากับเจ้าตัวในเดือนธันวาคม 2020 และอีกเพียง 8 เดือนต่อมาก็ก้าวกระโดดไปเล่นให้กับสโมสรชั้นนำอย่าง สปอร์ติง ลิสบอน พร้อมสร้างชื่อในฐานะกองกลางตัวรับที่แข็งแกร่ง โดยดึงดูดความสนใจจากทีมอย่าง เชลซี และ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ก่อนที่จะเป็น เปแอสเช คว้าตัวไปร่วมทีมในปี 2023
โดย อูการ์เต้ ลงเล่นให้กับทีมแชมป์จากฝรั่งเศสไป 37 นัด เมื่อฤดูกาลที่แล้ว โดยแบ่งเป็น 25 เกมในลีกเอิง และ 8 นัด ใน ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก แต่ได้ลงตัวจริงเพียงเกมเดียวเท่านั้นในรอบแบ่งกลุ่มซึ่งเขาไม่สามารถเบียดแย่งตำแหน่งนี้จากเพื่อนร่วมทีมอย่าง วิตินญ่า ได้
แต่ด้วยวัยเพียง 23 ปีกับตัวเลขสถิติต่างๆต้องบอกว่าไม่แปลกใจที่ทำให้เหล่าแฟน แมนฯ ยูไนเต็ด จะตื่นเต้นกับการมาของเจ้าตัว ที่มีจุดเด่นด้านการจ่ายบอล, การเข้าแย่งบอล, การดวลกับคู่ต่อสู้ในสนามที่ดุดัน และการเข้าสะกัดได้อย่างแม่นยำและหนักแน่น ซึ่งคงเป็นแนวทางเดียวกับ คาเซมิโร่ สมัยรุ่งเรือง ส่วนจุดอ่อนก็คือการมีส่วนรวมในเกมรุกที่เจ้าตัวดูจะไม่ถนัดเอาซะเลย ก็ต้องมารอดูกันว่าใน ‘เกมแดงเดือด’ สัปดาห์นี้ กองกลางชาวอุรุกวัย จะมีโอกาสได้ลงสนามหรือไม่ เพราะถ้าได้ลงเจ้าตัวก็คงเป็นกำลังสำคัญในแดนกลางของ เทน ฮาก อย่างแน่นอน
2. ไรอัน กราเวนเบิร์ชเรียกได้ว่ามิดฟิลด์ชาวดัตช์ เป็นกองกลางเบอร์ 6 จำเป็นของฝั่ง ‘หงส์แดง’ ก็ว่าได้ แบบที่เจ้าตัวก็คงไม่ทันคาดคิด เนื่องจาก ลิเวอร์พูล ยังไม่สามารถหาคนที่ใช่ในเวลาที่เหมาะสมกับทีมได้ ส่วนตัว วาตารุ เอ็นโดะ เองก็มีอายุเกิน 30 ปีแล้ว จะให้เป็นตัวหลักในทีมที่ใช้พลังงานร่างกายสูงทั้งฤดูกาลคงไม่ไหว
ถ้ามองย้อนไปถึงสไตล์การเล่นสมัยที่ กราเวนเบิร์ช โด่งดังขึ้นมาใหม่ๆกับ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม นี่คือ มิดฟิลด์บ็อกซ์ทูบ็อกซ์ ที่มีการไปกับบอลที่เนียนตา เรามักจะได้เห็นเจ้าตัวควบบอลตะบึงทำเกมรุกเข้าเขตโทษคู่แข่งเป็นประจำ จ่ายบอลคีย์พาสในจังหวะสำคัญที่นำไปสู่การทำประตูของทีม ยิงประตูนอกกรอบเขตโทษได้ดี ทั้งลูกปั่นเล่นทางหรือลูกพุ่งแรงก็มีให้เห็น ที่สำคัญคือแม้จะถนัดเท้าขวา แต่ถ้าจังหวะเหมาะสมก็เล่นได้ทั้งสองเท้า นอกจากนี้ยังมีความเร็วพอสมควรสำหรับผู้เล่นในตำแหน่งกองกลาง
ในด้านเกมรับเจ้าตัวก็ทำได้อย่างดี แม้จะไม่ได้โดดเด่นเหมือนตัวรับธรรมชาติ แต่ก็ทดแทนด้วยระเบียบวินัยที่เข้าใจในแผนของผู้จัดการทีม การยืนตำแหน่ง ซึ่งเกิดจากการเติบโตมาในอคาเดมี่ฟุตบอลสมัยใหม่ที่ปลูกสร้างให้นักฟุตบอลเพียบพร้อมในทุกด้าน แถมด้วยสรีระที่สูงกว่า 190 ซม. ทำให้เจ้าตัวไม่แพ้ใครในลูกกลางอากาศ
ส่วนจุดด้อยที่เห็นได้ชัดเจนคือเจ้าตัวมีสถิติในการเสียบอลสูงกว่ากองกลางทั่วไปอยู่บ้าง จากการที่มักพาบอลขึ้นหน้าบ่อยๆ จนอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างเทิร์นโอเวอร์ที่นำมาสู่การเสียประตูของทีมได้ และอีกจุดที่ต้องปรับปรุงคือการผ่านบอลยาวในระดับข้ามฟากหรือเปลี่ยนแกน จนทำให้เราจะไม่ค่อยได้เห็นเจ้าตัวเปิดบอลยาวมากนัก รอบนี้จะเป็นบทพิสูจน์สำหรับกองกลางวัย 24 ปีคนนี้ว่าจะรับมือแรงกดดันในเกมใหญ่ได้มากแค่ไหน น่าติดตามชมทีเดียว
มาถึงตรงนี้ คงเป็นที่น่าเสียดายถ้าหาก อูการ์เต้ ฟิตไม่ทันลงในเกมนี้ ไม่เช่นนั้นจะเป็นเกมที่สนุกมากในแดนกลางของสนาม แต่ถ้าหากกองกลางทีมชาติอุรุกวัยได้ลง ก็คงเป็นการต่อสู้ที่น่าจับตามองว่าเขาจะมาเปลี่ยนแปลง แมนฯ ยูไนเต็ด ได้มากแค่ไหน ในส่วนฝั่งของ กราเวนเบิร์ช เองก็น่าสนใจว่าจะรับมือกับเกมใหญ่แบบ ‘แดงเดือด’ ได้ดีเพียงใด อาทิตย์นี้รู้ผลแน่นอน
เขียนโดย LS Sport
ข่าวกีฬาคนรุ่นใหม่ 24 ชั่วโมง